เตรียมเสนอรัฐบาลให้ตัดสินใจบริหารจัดการอย่างไร ในสถานการณ์นี้ โดยระบุว่า หากแอลเอ็นจียังมีราคาเหนือระดับ 20 เหรียญสหรัฐต่อล้าน บีทียู คาดว่าค่าไฟจะยืนเหนือระดับ 4 บาทต่อหน่วยต่อไปแน่นอน เพราะการผลิตไฟฟ้า พึ่งพาแอลเอ็นจีมากขึ้น ดังนั้นต้องอยู่ที่นโยบายรัฐบาลว่าจะสนับสนุนเชื้อเพลิงประเภทใดในอนาคต อาทิ พลังงานหมุนเวียน พลังงานน้ำด้วยการซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว หรือหากใช้แอลเอ็นจีอาจใช้วิธีเดียวกับประเทศญี่ปุ่นคือซื้อช่วงราคาถูกมาเก็บไว้ เพราะเมื่อเกิดวิกฤตราคาจะสามารถบริหารจัดการได้ หรือเพิ่มการผลิตจากแหล่งก๊าซในประเทศ ขณะที่ในฟากตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากค่าไฟที่แพงอย่าง สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส. อ. ท. ) ให้ความเห็นว่า อัตราค่าไฟดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม แต่ที่หนักสุดคือ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ เหล็ก ปิโตรเคมี การผลิตขั้นต้น อาจทำให้ราคาสินค้าทยอยปรับขึ้นหลังเผชิญกับต้นทุน ที่เพิ่มขึ้นทุกด้าน จากการหารือกับผู้ประกอบการได้ข้อมูลว่าจะพยายามตรึงราคาให้นานที่สุด ประธาน ส.
ได้ดำเนินนโยบายบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้ใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการการลดค่าไฟฟ้า และตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรหรือเอฟทีอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 (Covid-19) เบาบางลง ทำให้เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับสถานการณ์วิกฤตพลังงานในต่างประเทศ เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวส่งผลให้เกิดภาวะพลังงานตึงตัว (Energy Crisis) เพราะความต้องการใช้พลังงานทั้งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงนี้ ทำให้ค่าเอฟทีเดือน ม. – เม. 2565 (ที่ใช้ค่าจริงเดือนกันยายน 2564 ในการประมาณการ) เพิ่มสูงขึ้นเป็น 48. 01 สตางค์ สำหรับปัจจัยในการพิจารณา ค่าเอฟที ในรอบเดือน ม. 2565 ประกอบด้วย 1. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ม. –เม. 2565 เท่ากับประมาณ 65, 325 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ก. – ธ. 2564) ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64, 510 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 1. 26% 2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ม. 2565 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 60.
1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันตลาดโลก คาดการณ์เฉลี่ยลดลงมาเป็นประมาณ 70 ดอลลาร์ต่อบาเรล และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทดแทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวมด้วยแล้ว ยังคงทำให้ค่าเอฟทีต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7. 18 สตางค์ หรือเพิ่มขึ้น 22. 50 สตางค์ ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในระยะสั้นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ กกพ. จึงได้พิจารณาแนวทางในการลดผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปีโดยทยอยปรับเพิ่มค่าเอฟทีแบบขั้นบันได โดยในงวดเดือน ม. - เม. 2565 จะเพิ่มขึ้น 16. 71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15. 32 สตางค์ในงวดก่อนหน้ามาอยู่ที่ 1. 39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป โดยกกพ. จะติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน และราคาเชื้อเพลิงยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้บ้าง หลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวซึ่งมีปริมาณความต้องการการใช้ก๊าซธรรมชาติสูง และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะสามารถบริหารจัดการความสมดุลของอุปสงค์ และอุปทานน้ำมันในตลาดให้ดีขึ้นได้ "กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2565 ทาง เว็บไซต์สำนักงาน กกพ.
27% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 13. 92% และค่าเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 7. 68% ลิกไนต์ของ กฟผ. 7. 55% และอื่นๆ อีก 6. 92% 3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ก. 2564 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือน ก. 2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ 4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1 – 30 กันยายน 2564) เท่ากับ 33. 0 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าจากประมาณการในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 31. 3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นายคมกฤช กล่าวว่า กกพ. ได้พิจารณานำ เงินบริหารจัดการค่า Ft และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดมาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5, 129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา จำนวนเงิน 13, 511 ล้านบาท รวมเป็นเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่า Ft ทั้งหมด 18, 640 ล้านบาท และพิจารณาค่าแนวโน้มปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 32.
เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์ กกพ. ปรับ "ค่าเอฟที" ปี 65 ครั้งแรกในรอบ 2 ปี สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1. 39 สตางค์ต่อหน่วย กกพ. 39 สตางค์ต่อหน่วย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ. ) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ. ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พ. ย. ที่ผ่านมา มีมติให้ปรับ "ค่าไฟขึ้น" (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1. 39 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3. 78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4. 63 จากงวดปัจจุบัน ทั้งนี้ กกพ. ได้พิจารณาแนวทางในการลดผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปีโดยทยอยปรับเพิ่ม "ค่าเอฟที" แบบขั้นบันได ซึ่งในงวดเดือน ม. ค. - เม. 2565 จะเพิ่มขึ้น 16. 71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15. 32 สตางค์ในงวดก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1. 39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับปรุงตามค่าจริงในรอบต่อ ๆ ไป สำหรับเหตุผลที่ปรับ "ค่าไฟขึ้น" ครั้งนี้ กกพ. อ้างเหตุผลจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำลดลงตามฤดูกาลและการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ส่งผลให้สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนราคาถูกลดลง ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ.
65 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 55. 11 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 19. 46 และ ลิกไนต์ของ กฟผ. ร้อยละ 8. 32 เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 8. 08 พลังน้ำของ กฟผ. ร้อยละ 2. 58 น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0. 01% น้ำมันดีเซล (กฟผ. 19% และอื่นๆ อีกร้อยละ 6. 25 3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน พ. 2565 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ม. 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากประมาณในรอบเดือน ม. 2565 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ 4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (1-31 ม. 65) เท่ากับ 33. 20 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าเล็กน้อยจากประมาณการในงวดเดือน ม. 65 ที่ผ่านมา ที่ประมาณการไว้ที่ 33. 00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นายคมกฤช กล่าวว่า ในช่วงวิกฤติราคาพลังงานขาขึ้น สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้ใช้ไฟ ร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า 4 ป.
แฟ้มภาพ จ่อปรับค่าไฟฐานขยับอีกจากปัจจุบันเก็บ 3. 76 บาท/หน่วย ประกาศใช้กลางปีนี้ เบื้องต้นปชช. ไม่กระทบ แต่ผู้ใช้ไฟอุตฯไม่รอด นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ. ) ในฐานะโฆษกฯ สำนักงาน กกพ. กล่าวว่า ขณะนี้ กกพ. กำลังทำโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ทั้งระบบ ซึ่งอาจจะมีการปรับค่าไฟฟ้าฐานจากปัจจุบันอยู่ที่ 3.
ย. -ธ. 65 จะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ 64. 83 สตางค์ต่อหน่วยหรือขึ้นราว 40 สตางค์ต่อหน่วย และงวด ม. -เม. 66 จะต้องปรับขึ้นไปอยู่ที่ 110. 82 สตางค์ต่อหน่วยหรือขึ้นอีกราว 46 สตางค์ต่อหน่วยอย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้หากราคาน้ำมันและก๊าซฯ มีการปรับลงไปจากสมมติฐานเดิมที่วางไว้ แต่หากยังเฉลี่ยสูงเช่นปัจจุบันราคาก็จะคงอยู่ในระดับดังกล่าว "การปรับขึ้นแบบขั้นบันไดนั้น กฟผ. เองก็ยังคงแบกรับภาระไว้ราว 3. 89 หมื่นล้านบาทนั้น ขณะนี้ กฟผ. ก็มีการบริหารจัดการไปส่วนหนึ่งด้วยการขออนุมัติเงินกู้คณะรัฐมนตรีไปแล้ว แต่เราเองก็ไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องแบกภาระเกินไป ก็กำลังมองหาผู้ประกอบการอื่นๆ มาช่วย เช่น บมจ. ปตท. จะลดค่าก๊าซฯ ได้หรือไม่ เป็นต้น" นายคมกฤชกล่าว นายคมกฤชกล่าวว่า ในช่วงวิกฤตราคาพลังงานขาขึ้น สำนักงาน กกพ. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้ใช้ไฟ ร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า 4 ป. ได้แก่ ปลด หรือถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้าเมื่อใช้งานเสร็จ, ปิด หรือดับไฟเมื่อเลิกใช้งาน, ปรับ อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา และ เปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงราคาแพง ซึ่งจะเป็นการลดภาระค่าครองชีพสำหรับตัวท่านเอง และยังจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันลดภาระโดยรวมให้แก่ประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ.